5 วิธี เลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ สำหรับเว็บไซต์ของคุณ
เชื่อว่า...ปัญหาหนึ่งที่เจ้าของเว็บไซต์หรือผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์หลายๆ ท่านกำลังประสบอยู่ก็คือ ไม่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ อาจเป็นเพราะไม่ได้ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ไม่มี "Keyword" หรือ "คำหลัก" ที่จะเชื่อมโยงผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของท่านได้
ซึ่งการที่เว็บไซต์มี คีย์เวิร์ด ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการอยู่นั้น นอกจากจะส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ของท่านผ่าน Google แล้ว ยังจะส่งผลกับ Quality Score หรือ คะแนนคุณภาพ ของเว็บไซต์ ที่จะทำให้ค่าโฆษณาของคุณถูกลง เมื่อคุณเลือกโปรโมทเว็บไซต์ผ่านการทำโฆษณา Google AdWords และยังสามารถนำเอาคีย์เวิร์ดเหล่านั้น ไปใช้เพื่อทำโฆษณาได้อีกด้วยค่ะ
วันนี้ ReadyPlanet จึงอยากขอแนะนำผู้ประกอบการ ถึง 5 วิธีในการเลือก คีย์เวิร์ดที่ใช่ ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ดังต่อไปนี้เลยค่ะ
1. จัดทำรายชื่อคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ขั้นตอนแรกในการจะหาคีย์เวิร์ดที่ใช่สำหรับธุรกิจออนไลน์ของคุณ ก็คือการจัดทำรายชื่อคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการของคุณ ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะใช้เพื่อค้นหาบน Google โดยคุณอาจใช้วิธีเสิร์ชคำเหล่านั้นลงบน Google ด้วยตัวเอง ถ้าหากคุณพบเว็บไซต์ของคู่แข่ง หรือเว็บไซต์ที่ขายสินค้าหรือบริการที่ใกล้เคียงกับแบรนด์ของคุณ แสดงว่าคุณมาถูกทางแล้วค่ะ
2. เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงถึงตัวแบรนด์และสินค้า
และหลังจากที่คุณจัดทำรายชื่อคำที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้คุณลองพิจารณาคีย์เวิร์ดเหล่านั้น แล้วเลือกคำที่สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ โดยหลีกเลี่ยงคีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไป
เช่น หากคุณเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ในซอยรางน้ำ ใกล้ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ คุณอาจเลือกใช้คีย์เวิร์ดคำว่า วัสดุก่อสร้าง ซอยรางน้ำ, ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ในซอยรางน้ำ, ร้านขายวัสดุก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นต้น การระบุสถานที่ในคำค้นหา จะช่วยให้คุณสามารถดึงลูกค้าที่มีความต้องการ และอยู่ใกล้กับร้านค้าของคุณ ให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นค่ะ
3. จำลองตัวเองเป็นลูกค้า
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่ให้กับเว็บไซต์ได้ คือการจินตนาการถึงมุมมองของผู้บริโภค แทนที่จะมองจากมุมมองของแบรนด์เอง ลองคิดดูว่า หากคุณเป็นลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าหรือบริการ คุณจะเลือกค้นหาจากคีย์เวิร์ดคำว่าอะไร
เช่น หากคุณจำลองตัวเองเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้กับอนุศาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่กำลังต้องการซื้อวัสดุไปใช้สร้างบ้านให้กับลูกค้า คำที่คุณจะค้นหาบนโลกออนไลน์จะเป็นคำว่าอะไร? เมื่อคุณคิดจากฝั่งของลูกค้า จะช่วยให้คุณสามารถนึกคีย์เวิร์ดดีๆที่น่าสนใจได้เพิ่มแน่นอนค่ะ
4. นำเครื่องมือดีๆ ของ Google เข้ามาช่วย
นอกเหนือจากที่คุณจะต้องจัดทำรายชื่อคีย์เวิร์ด และเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจแล้ว คุณยังสามารถใช้เครื่องมือพิเศษจาก Google เพื่อช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ ได้อีกแรงหนึ่งค่ะ
- Keyword Planner เป็นบริการตรวจสอบ Keyword ของ Google ที่อยู่ในบริการ Google AdWords เครื่องมือตัวนี้เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ เพราะจะช่วยวิเคราะห์ว่า คำหรือคีย์เวิร์ดใดที่เหมาะจะใช้งานในธุรกิจของคุณมากที่สุด
เช่น คุณทำธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง และอยากทราบว่าสินค้าประเภท "เหล็กเส้น" นั้นมีผู้ค้นหาใน Google มากน้อยแค่ไหน หลังจากที่กรอก Keyword และกำหนดรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ระบบ Keyword Planner จะแสดงข้อมูลของคำค้นหาที่มีการเสิร์ชจริง พร้อมทั้งแสดงข้อมูลทางสถิติ
เช่น จำนวนการค้นหา Keyword นี้ใน 1 เดือน, ระดับจำนวนคู่แข่งขันหรือผู้ที่มีใช้คีย์เวิร์ดนี้ในการทำ AdWords, รวมถึงประเมินค่าใช้จ่ายต่อ 1 คลิกเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกใช้ Keyword นั้นๆ ให้ตรงกับการค้นหาในการเสิร์ชมากที่สุด
- Google Trends ถูกใช้เพื่อดูว่าคำค้น (Search Terms) อะไรที่ผู้บริโภคนิยมค้นหา ภายใต้เครื่องมือ Google Trends สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนกว้างๆ
ส่วนแรก คือ การรายงานอัพเดตรายวันว่า ณ ขณะนี้อะไรที่กำลังอินเทรนด์อยู่บ้าง ซึ่งคุณสามารถตามเข้าไปดูได้ทุกวัน เพื่อใช้จับตาดูกระแสใหม่ๆ และฉกฉวยประโยชน์ออกมาพูดก่อน ซึ่งวิธีนี้มักเรียกกันว่าการทำการตลาดแบบ Real-time Marketing
ส่วนที่สอง ที่นักการตลาดนิยมใช้ คือ คุณสามารถค้นหาเจาะลึกไปในประเด็นที่ต้องการได้ เพื่อศึกษาว่า ใครกำลังพูดอะไร (จากการใช้คีย์เวิร์ดเพื่อค้นหา) ที่ไหน (จากสถานที่ตั้งแต่รายประเทศจนถึงรายจังหวัด) ตอนไหน (จากระยะเวลาที่ระบุออกมาเป็นเดือน) ทำให้คุณได้ทราบพฤติกรรมการเสิร์ชของกลุ่มเป้าหมายอย่างง่ายดายเลยค่ะ
5. คำนึงถึงความนิยมของคีย์เวิร์ดแต่ละคำ
ถึงตอนนี้คุณคงจะพอทราบแล้วว่า Keyword แต่ละคำที่คุณจะใช้นั้น มีคู่แข่งขันและผู้สนใจค้นหามากน้อยแค่ไหน เราจึงอยากแนะนำให้คุณเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ค้นหาเฉลี่ยเยอะ แต่มีคู่แข่งขันน้อย (อยู่ในระดับ Low - Medium) เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับในผลการค้นหาด้วย Keyword นั้นๆ ได้ง่ายขึ้น
ทั้งในการทำเว็บไซต์ให้ติด Google แบบธรรมชาติ (SEO) โดยการนำ Keyword ไปเพิ่มในเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ในส่วนต่าง ๆ
เช่น ชื่อของหน้าเว็บไซต์ (Title Tag), ชื่อ URL, ชื่อบทความ/หัวข้อเรื่อง, เนื้อหาบทความ เป็นต้น และสามารถใช้เป็นคำหลักในการสร้างลิงค์เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หรือทำโฆษณาบน Google โดยใช้ Google AdWords ด้วยค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า
เมื่อคุณได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดทุกคำที่เกี่ยวข้องลงในเว็บไซต์ หรือซื้อคีย์เวิร์ดมากมายเพื่อทำโฆษณา Google AdWords เพื่อให้ผู้บริโภคเป้าหมายพบเห็นเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น เพราะกับคีย์เวิร์ดบางคำ ถึงแม้ว่าคุณจะได้เป็นที่ 1 ในผลการค้นหา แต่ก็ไม่อาจทำได้คุณได้ลูกค้าก็เป็นได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ มองหาคีย์เวิร์ดคุณภาพ ที่จะอธิบายว่าธุรกิจของคุณคืออะไร ตั้งอยู่ที่ใด และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในเรื่องใด เราอยากจะลองแนะนำให้คุณนำทั้ง 5 วิธีไปปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณ เพื่อให้เว็บไซต์ ติดอันดับที่ดีขึ้นได้ใน Google ค่ะ