FAQ R-Web

คำถามทั่วไป

1. อยากใช้งานเว็บภาษาที่สอง ทำอย่างไร ?

ตอบ ต้องเปิด Sub Domain เป็นภาษาที่ต้องการภายใต้เว็บหลัก เช่น en.acbshop.com, cn.abcshop.com จากนั้นใส่เนื้อหาของภาษานั้นๆ แล้วทำการผูก Link ระหว่างเว็บหลักและเว็บภาษาที่สองเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เลือกดูข้อมูลแต่ละเว็บได้

2. ระบบสมาชิกสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง ?

ตอบ ใช้ในการกรองสมาชิกได้ โดยแอดมินเป็นผู้อนุมัติการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ ผู้ที่เป็นสมาชิกสามารถสั่งซื้อสินค้าในราคาสมาชิกได้ รวมไปถึงการจำกัดการมองเห็นบางเมนูให้เห็นเฉพาะคนที่เป็นสมาชิกเท่านั้น

3. เมื่อมีการเปลี่ยน Theme หน้าแรกอันเดิมหายไป ต้องทำอย่างไร ?

ตอบ การเปลี่ยน Theme ระบบจะเปลี่ยนเฉพาะหน้าแรกเป็น Theme ล่าสุดที่เลือก แต่ระบบมีการ Backup หน้าแรกเดิมเก็บไว้ให้ที่คลังเนื้อหา หากต้องการนำมาใช้งาน สามารถลาก (Drag&Drop) มาที่แถบเมนูหลักได้ ส่วนเนื้อหาในเมนูหน้าอื่นๆ ยังคงอยู่เหมือนเดิม

4. อยากเปลี่ยนฟอนต์ (Font) ในเว็บไซต์ และเปลี่ยนสีของฟอนต์ต้องทำอย่างไร ?

ตอบ การเปลี่ยนรูปแบบฟอนต์ ไปที่เมนูตกแต่ง > รูปแบบโดยรวม > ฟอนต์ของเว็บไซต์
ส่วนการเปลี่ยนสีของฟอนต์ ไปที่เมนูตกแต่ง > สมาร์ท ธีม > รายละเอียดชุดสี
สีของฟอนต์จะปรากฎในตำแหน่งต่างๆ เช่น หัวเรื่องหลัก หัวเรื่องรอง ข้อความ ข้อความปุ่ม ข้อความปุ่มเมื่อถูกเมาส์ เป็นต้น ซึ่งเป็นการตั้งค่าสำหรับทั้งเว็บไซต์

5. หากมีลูกค้ากรอกแบบฟอร์มผ่านหน้าเว็บไซต์ สามารถดูข้อมูลได้จากที่ไหน ?

ตอบ ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกแบบฟอร์มเข้ามา สามารถดูได้จากเมนูแบบฟอร์ม > รายการติดต่อกลับ ที่ระบบหลังบ้านของ R-Web โดยสามารถ Export ออกมาเป็นไฟล์ Excel ได้ และในกรณีที่มีการเชื่อมต่อกับระบบ R-CRM ก็จะมีการสร้าง Lead ไว้ในระบบ R-CRM ให้อัตโนมัติ ช่วยให้จัดการในส่วนของการบริหารทีมขายต่อได้

6. อยากให้โลโก้ของธุรกิจ แสดงผลทั้งที่หน้าเว็บไซต์และ Tab Browser ด้วย ต้องทำอย่างไร ?

ตอบ การอัปโหลดโลโก้สามารถทำได้ 2 ตำแหน่ง คือ ส่วนหัวของเว็บไซต์ที่เมนูหลัก และส่วนของ Favicon ซึ่งจะแสดงผลที่ Tab Browser ต้องไปที่เมนูตั้งค่า > ทั่วไป > Icon สามารถอัปโหลดโลโก้ที่ต้องการได้

7. คลังเนื้อหา คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?

ตอบ คลังเนื้อหาคือพื้นที่สำหรับ Backup ข้อมูลหน้าแรก เมื่อมีการเปลี่ยนธีม และยังสามารถซ่อนเมนูที่ไม่ต้องการให้ลูกค้าเห็นไว้ที่หลังบ้านได้ หรือประยุกต์ใช้โดยการนำ URL ของเมนูที่อยู่ในคลังเนื้อหามาผูก link กับรูปภาพ ข้อความ หรือปุ่มในเว็บไซต์ได้ตามต้องการ

 


 

Section

1. การใช้งาน Smart Setion ต้องใช้รูปภาพขนาดเท่าไหร่ ?

ตอบ ระบบมีรายละเอียดของขนาดรูปภาพแสดงผลให้เห็นก่อนเลือกใช้งาน Smart Section และขนาดแต่ละไฟล์ไม่เกิน 5 MB

2. อยากให้ลูกค้าที่เข้าชมเว็บไซต์ สามารถดาวน์โหลดไฟล์เอกสารหรือแคตตาล็อกสินค้าได้ ทำอย่างไร ?

ตอบ ใช้ Section Attachments ใส่ได้ทั้งไฟล์รูปภาพ และไฟล์เอกสาร รองรับไฟล์ .pdf, .doc, .docx, .xls, .xlsx, .jpg, .jpeg, .png, .gif, .bmp, .zip, .rar

 


 

เมนู

1. การสร้างเมนูในเว็บไซต์ สามารถสร้างได้สูงสุดกี่เมนู ?

ตอบ สามารถสร้างได้ไม่จำกัด

2. ต้องการใส่บทความที่มีเนื้อหาเยอะๆ ในหน้าเว็บไซต์ ต้องใช้เครื่องมือใด ?

ตอบ ใช้งาน Text Editor หรือ Section Text เพราะรองรับการใส่ข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ รวมถึงใส่รูปภาพ วิดีโอได้ไม่จำกัด

3. การจัดการเมนูกับการจัดการ Section แตกต่างกันอย่างไร ?

ตอบ การจัดการเมนู คือการสร้างหน้าในเว็บไซต์ (Web Page) สำหรับเนื้อหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องการนำเสนอ ส่วนการจัดการ Section คือการออกแบบรูปแบบ เนื้อหา รูปภาพภายในเมนูที่สร้างขึ้น เพื่อความสวยงาม จึงมีการใช้งานที่แตกต่างกัน และ Section จะต้องอยู่ภายในเมนูเสมอ

4. ต้องการใส่แผนที่ร้านในเว็บไซต์ ?

ตอบ ไปที่ map.google.com จากนั้นค้นหาที่อยู่ เมื่อเจอข้อมูลที่อยู่ให้คลิกที่แชร์ > ฝังแผนที่ > เลือกขนาดที่ต้องการให้แสดงผล > คัดลอก HTML เครื่องมือที่รับรองการใส่โค้ด iFrame แล้วนำมาวางได้ที่พื้นที่เหล่านี้ Text Editor Text Section และ HTML Section

5. หากต้องการใส่ Video ในเว็บไซต์ ทำอย่างไร ?

ตอบ ต้องอัปโหลด Video ไว้ที่ Youtube ก่อน จากนั้นทำได้ 2 วิธี คือ
1. Copy URL จาก Youtube มาใส่ตรงพื้นที่เนื้อหาหลัก
2. Copy Code iframe มาใส่ที่ Text Editor
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่

6. การผูกลิงก์ภายในเว็บไซต์เดียวกันทำอย่างไร ?

ตอบ การผูกลิงก์ภายในเว็บไซต์ (Internal Link) จะต้องสร้างหน้าเว็บไซต์แล้วใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน จากนั้นนำ URL ของเว็บไซต์มาผูกกับรูปภาพ ข้อความ หรือปุ่มที่อยู่ในหน้าอื่นๆ ตามที่ต้องการ ซึ่งเครื่องมือปัจจุบันรองรับการใส่แบบ Static URL โดยไม่จำเป็นต้อง Copy URL แบบเต็มก็สามารถใช้งานได้


 

การตั้งค่า SEO

1. Static URL คืออะไร ?

ตอบ เป็นการสร้าง URL ที่เข้าใจได้ง่าย และสอดคล้องกับเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นๆ ซึ่ง URL ที่เป็นแบบ Static URL จะช่วยให้ Bot ของ Search Engine ที่เข้ามาเก็บข้อมูลในเว็บเราเข้าใจได้ง่ายและช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับที่ดีขึ้น

2. การตั้งค่า SEO คืออะไร และทำอย่างไร ?

ตอบ การตั้งค่า SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อช่วยให้ติดอันดับบน Search Engine แบบธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ รวมไปถึงการทำ internal link, การใส่ ALT Text, Heading, ตั้งชื่อเมนู หัวข้อต่างๆ, External Link ไปฝาก link กับเว็บอื่นๆ หรือเว็บ Directory ฟรีในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับธุรกิจ

3. ALT Text คืออะไร จำเป็นต้องใส่ข้อมูลหรือไม่ ?

ตอบ Alternative Text หรือ ALT Text เป็นส่วนสำหรับใส่ข้อความอธิบายรูปภาพที่จะช่วยให้ Search Engine รับรู้ความหมายของภาพนั้นๆ เนื่องจาก Search Engine ไม่สามารถเก็บข้อมูลรูปภาพในหน้าเว็บไซต์จากการดูว่าภาพที่แสดงคือภาพอะไร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ ALT Text ไม่ควรเว้นเป็นค่าว่าง และยังช่วยแสดงภาพใน Google image search และช่วยให้หน้าเว็บไซต์แสดงผลใน Google ได้ดีขึ้น เมื่อมีผู้ search Keyword ของหน้านั้นๆ

4. หากต้องการนำโค้ดจากภายนอกมาใส่ในเว็บไซต์ เช่น Google Analytics, Google Tag Manager ทำอย่างไร ?

ตอบ ระบบ R-Web มีพื้นที่รองรับการใส่โค้ด HTML จากภายนอก ดังนี้

  • ตั้งค่า > โค้ดและสคริปต์
  • Section HTML
  • Text Editor > Source Code

5. เว็บไซต์จะเชื่อมกับ Search Engine อย่าง Google ได้อย่างไร ?

ตอบ R-Web มีเครื่องมือที่รองรับ Google คือ Google Analytics, Google Search Console (การยืนยันตัวตนกับ Google) รวมถึงแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) เพื่อให้ Google มาเก็บข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ แล้วนำไปแสดงผลการค้นหาที่ Google